apostrophe s หรือ s apostrophe

 .....' s ...... หรือ ......s' ...... 

Sudjai's shop หรือ Sudjais' shop
Smith's shop หรือ Smiths' shop

เรารู้กันอยู่ว่า การใช้ Apostrophe แบบนี้คือการแสดงความเป็นเจ้าของ,
แต่เราอาจจะไปเจอการใช้ s' กับ 's แล้วไม่แน่ใจว่า ใช้แบบไหนผิดใช้แบบไหนถูก, มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร



คนไทยเรา คงจะชินกับการใช้ 's (Apostrophe s ) กันอยู่แล้ว
บางคนเมื่อเห็น s' (s Apostrophe) ก็อาจจะคิดว่านี่เป็นการใช้งานที่ผิด
จริงๆแล้วทั้งสองแบบคือการใช้งานที่ถูกต้อง เพียงแต่ทั้งสองแบบนี้มีความหมายแตกต่างกัน
ถ้าเราใช้ 's (Apostrophe s ) เช่น Sudjai's shop หรือ Smith's shop 
ร้านนั้นจะเป็นของคุณสุดใจ และคุณสมิทธิ์ ตามลำดับ
ถ้าเราใช้ s' (s Apostrophe) เช่น Sudjais' shop หรือ Smiths' shop
ร้านนั้นจะเป็นของครอบครัวสุดใจ และครอบครัวสมิทธิ์ ตามลำดับ

s' (s Apostrophe s) ที่เราไม่คุ้นเคยนั้น ใช้กับเจ้าของที่มากกว่า 1 คน

If clause type I สมมติกันแบบซิมเปิ้ล..ซิมเปิ้ล..

ในที่สุด เราก็เดินทางมาถึงการใช้ If clause แบบสุดท้ายแล้วค่ะ,
กรณีสุดท้ายนี้คือกรณีที่ง่ายที่สุด เป็นการกล่าวถึงในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น  ถ้าประธานทำอะไรบางอย่าง
ประโยคที่ใช้จึงเป็นประโยคง่ายๆที่แสนจะไม่ซับซ้อน คือ
If + Simple Present , Simple future.
เรียกได้ว่าใช้ประโยค ซิมเปิ้ล(Present), ซิมเปิ้ล(Future). ง่ายๆกันเลยทีเดียว
If I study hard, i will pass the exam.


เพื่อความมั่นใจในการใช้ If clause ทุกๆกาล(ทั้งอดีต,ปัจจุบันและอนาคต)
แวะอ่าน 2 บล๊อกก่อนหน้านี้ได้เลยค่ะ  Click >>
IF clause type III : http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/if-clause-typeiii.html
IF clause type II : http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/if-clause-typeii.html

If clause typeII มาดูให้ชัด ลัด เคลียร์

การใช้ If-clause ใช้ได้ทั้ง If 3.ในอดีต, 2.ปัจจุบันและ1.อนาคต

บล๊อกที่แล้ว. . เรานำพาทุกท่านสู่ไทม์แมชชีนย้อนกลับไป"แก้ไข"สิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว
หรือกลับไปภูมิใจที่ได้ตัดสินใจทำไปปหรือเป็นไปแบบนั้น
บล ีอกที่แล้ว เราต้องใข้ไทม์แมชชีนเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นจบไปบริบูรณ์แล้ว
"ทั้งหมดจบบริบูรณ์์ไปแล้ว" จึงใช้แต่กาล Perfect
If + Past perfect, would/could/... + present perfect.

บล๊อกนี้.. เราจะนำพาทุกท่าน 2. จินตนาการปัจจุบันกันค่ะ
ประโยคในบล๊อกนี้ คือประโยคที่เราคุ้นหูว่า If I were you, ...
เป็นการใช้คำช่วยมาใช้กับประโยคแบบนำเดี่ยว คือ If + Simple past, S + would/could/... + V
เป็นการสมมติโดยใช้กริยาช่องที่2 หรือ นำตัวช่วยในอดีต (would, had,...) มานำกริยาช่องที่1
ส่วนประโยคที่เป็นผลจากการสมมตินั้น นำ would,could,... ไปลากกริยามาได้เลย

โดยที่ข้อควรระวังของการใช้ If + Simple past มีประเด็นเดียว
คือจะไม่มีการใช้ was ในประโยค If clause อย่างเด็ดขาด จะต้องใช้ were กับทุกประธาน
ทำให้เราได้ยินกันเสมอว่า... When I was just a little girl, ..
แต่ If I were you, ... มันดูขัดแย้ง/เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ กับการใช้ were กับทุกประธาน
ใช่ค่ะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ประโยคนี้เราพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
อย่าง If I were you,... เนี่ย เป็นไปไม่ได้หรอกที่ฉันจะเป้นเธอ
แต่ฉันจะสมมตินิ If I were you, ... If she were nurse,...

เห็นไหมคะว่า การใช้ If clause นั้นง่ายมั่กๆ
สองประโยคที่มี if เชื่อมกันจะต้องขึ้นตาชั่งแล้วเท่าเทียม
If I were you, I would not do this. (If clause type II)
If I found her address, I would send her an invitation. (If clause type II)

If I hadn’t studied, I wouldn’t have passed my exams. (If clause type III)
If I had found her address, I would have sent her an invitation. (If clause type III)

ทั้ง4 ประโยคคงช่วยให้เราเข้าใจIf clause type 2&3 แจ่มแจ้งมากขึ้น
ทั้งโครงสร้างประโยค และความหมาย(โฟกัสที่ตัวอย่างที่. 2 และ. 4 นะคะ
 สองประโยคนี้สมมติให้ฉันเจอที่อยู่เธอเหมือนกัน แต่มีความหมายซ่อนเร้นที่แตกต่างกัน
ประโยคที่. 4 ที่ใช้ Perfect tense คือทุกอย่างจบไปบริบูรณ์แล้ว
ไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไขอย่างสิ้นเชิง
แต่ประโยคที่. 2 นี้ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง(แม้จะริบหรี่เต็มทีแต่ก้ยังมีโอกาสอยู่จางๆ))

If-clause typeIII อยากแก้ไขการกระทำที่ไม่ได้ดั่งใจในอดีต

เรื่อง If-clause 
ถ้าจะพูดตามหลักวิชาการ ก็จะเป็นดังตารางสรุป
( เอิ่ม คนไม่เก่งอังกฤษอย่างเรา เห็นแล้วรู้สึกเข้าใจยากและลืมง่ายดีแท้)
Conditionif clausemain clause
I : condition possible to fulfillwill-future (or Modal + infinitive)
II : condition in theory possible to fulfillSimple Past would + infinitive *
III : condition not possible to fulfill (too late)Past Perfectwould + (have + past participle) *
*have + v3 <-- Present perfect

เรามาสรุปแบบง่ายๆกันดีกว่าค่ะ,

การใช้ If-clause ใช้ได้ทั้ง If 3.ในอดีต, 2.ปัจจุบันและ1.อนาคต

3. ถ้าเราสมมติ Past perfect แสดงว่าสิ่งนั้นตรงข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
(เพราะกาล Perfect จบลงโดยบริบูรณ์ไปแล้ว กลับไปแก้ไขไม่ได้)
เป็นการสมมติอดีตที่จบไปก่อน(If + Past perfect) กับสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง(would + Pesent perfect)
สังเกตได้ว่า สองประโยคที่ใช้เป็นประโยคที่เกริ่นไปในบล๊อกปูพื้นฐานif-clause

Would have + V3 เป็นโครงสร้างโดยตรงของประโยคที่ Action that could have taken place in the past
การใช้ would ไปนำ present perfect (have + v3) คือการบอกอย่างโจ่งแจ้งว่า
 "นี่คือการมโน"สิ่งที่ตรงข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
และแน่นอนใช่ไหมคะว่า.. เวลาคนเรามโนเพ้อฝัน มันสวยสดงดงามกว่าความจริงเสมอ
การใช้ประโยคนี้ คือการเพ้อสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วนั่นเอง
(หรือจะใช้ If clause แบบนี้มโนเพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองก็ได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ถ้าฉันไม่สวยรวยความสามารถ, ฉันก็ไม่ได้เป็นนางสาวไทยหรอกน่า เป ้นต้น)

*มโนกลบข้อผิดพลาด  If Past perfect, would. + present perfect.
If Clause แบบนี้มีแต่ Perfect
พูดถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับปัจจุบัน เอา would,could,...ไปนำ Present perfect
แล้วมโนไปให้สมเหตุผลว่า ในอดีตควรทำอย่างไร If Past perfect
2 ประโยคนี้พูดถึงอะไรก่อนก็ได้นะคะ แค่อย่าใช้ If กับ would,could,... ผิดกาล Perfect ก็พอ
(ซึ่งก็รู้กันอยู่แล้วเนอะว่าอดีตคือเหตุแห่งปัจจุบัน,
ฉะนั้นเราต้องใช้ If กับกาล Past perfect)

Perfect จบบริบูรณ์ไปแล้ว
แก้ไขไม่ได้
ปัจจุบันคงเป็นอีกอย่าง
(would + Pre perfect ),

ถ้าอดีตทำอีกอย่างไป  
(If + Past perfect),

ถ้าอดีตทำอีกอย่างไป  
(If + Past perfect ).

ปัจจุบันคงเป็นอีกอย่าง
(would + Pre perfect ).


2. ถ้าเราสมมติ Simple past (ไปต่อกันบล๊อกหน้าค่ะ ) Click >>
http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/if-clause-typeii.html

1. ถ้าเราสมมติ Simple present Click>>>
http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/if-clause-type-i.html

Basic ปูพื้นฐานสู่การเข้าใจ If-clause ในเวลาอันรวดเร็วแต่ยาวนาน

จากบล๊อกก่อนหน้าที่กล่าวถึง Though/Although/Even though
http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/thoughalthougheven-thoughdespitein.html )
เราได้เชื่อมโยงไปถึงความแตกต่างระหว่าง Even though กับ Even if
ใจความโดยสรุปจากลิ้งค์ข้างต้นคือ Even though เป็น Sub - ordinating conjugation
ส่วน Even if เป็น If-clause

จึงสมควรแก่เวลาที่เราจะมากล่าวถึง If-clause
เรามาสรุปให้เข้าใจจำได้แน่นปึ้ก โดยที่ไม่ต้องงุนงงสับสนกับ  If-clause กันเลย

แต่เดี๋ยวก่อน,
ก่อนที่เราจะพาคุณสู่จินตนาการการใช้ If-clause ที่โลดแล่นโบยบินในความคิด
คุณเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้รึยังคะ
1- Perfect tense
.Past perfect : S + had + V3 
.Present perfect : S + have + V3
.Future perfect : S + will have + V3 
*สังเกตนะคะว่า Perfect tense นั้นใช้ง่าย 
ไม่ว่าประธานจะเป็นอย่างไรก็ใช้ had, have, will have บอกกาลทั้งหมด
ถ้าเราเจอสามคำนี้ลาก V3 มาอยู่ใกล้ๆ, เอนเอียงใจได้เลยว่าเขากำลังบอกเราว่า..
เจ้าข้าเอ๊ย "Perferct tense มาแล้วว"

เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ลืม .. 
แวะไปทบทวนการใช้ Have, Has, Had จากบล๊อกก่อนหน้าสักครู่แล้วกลับมาดูกันใหม่ค่ะ
ไปเลย. -->  http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/havehashad.html
สังเกตนะคะว่า การใช้ Have,has,hadที่กล่าวถึงไปแล้ว เป็นกริยาแท้ที่มี Object ตามมา
หรือมี V.to do (don't, doesn't,didn't) เข้ามาช่วยบอกกาลของการปฏิเสธ และบอกประเภทประธาน(don't, doesn't)

สำหรับ Have, had ที่เป็นตัวนำขบวน Perfect tense จะตามมาด้วยกริยา(ในช่องที่สามเสมอ)

2- Could/should,... + have + V3 = เหตุการณ์ที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบัน
have + V3 คือ Present perfect ใช้บอกสิ่งที่ดำเนินมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
เมื่อเราใช้ตัวช่วย Could, Should, ... เข้าไป ความหมายจะเปลี่ยนไปทันที
Could, should, would, ... ใช้กับอะไรที่มีความมั่นใจน้อยลงจาก Can, Shall, will,...
หรืออีกนัยหนึ่งคือ Could, should, would, ... เผื่อใจว่าสิ่งที่พูดจะเกิดขึ้นหรือไม่มากกว่านั่นเอง
เช่น Could I borrow your smartphone? 
เป ้นการขอแบบสุภาพ ไม่เป ้นการบังคับ มากกว่า Can I borrow your smartphone?
การใช้ Could/should,... + have + V3 จึง = เหตุการณ์ที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบันนั่นเอง


SocialMedia ของเรา : Instagram


ID : PEMsummary 


"คำเชื่อม"จะไม่ใช่"คำช้ำ" เพ็มซั่มมีบทสรุป 'Though/Although/Even though/Despite/In spite of'

Though กับ Although ; พูดง่ายๆก็แค่ไม่เป็นทางการกับเป็นทางการ
ความต่างทางด้านการใช้ก็มีนิดเดียว.. คือ though วางได้ทั้ง ต้น,กลาง,ท้าย ประโยค
แต่ although จะวางตรงต้นและกลางประโยคเท่านั้น

Even though คำนี้ก็แปลว่า "ถึงแม้ว่า" เหมือน Although
แต่ในความหมายที่เหมือนกันนั้น Even though ให้ความหนักแน่นมากกว่า
ถ้าจะให้จำง่ายๆก็ให้นึกถึงภาษาใต้คำว่า "อย่างแรงส์"

......

บางคนสงสัยว่า.. จะใช้ Though/Although/Even though ให้ยุ่งยากทำไม
ต้องมาดูจุด full stop, ดูจุดลูกน้ำ comma ให้สองประโยคอยู่รวมด้วยกันโดยมีคำสามคำนี้เชื่อม
จะใช้คำง่ายๆอย่าง But ไปเลยไม่ได้เหรอ?????

คำตอบ.."ไม่ได้" แน่แท้และแน่นอนค่ะ
เพราะคำเหล่านี้เป็น Sut-coordinate conjugation เชื่อมประโยครองเข้ากับประโยคหลัก
แต่ but เป็น Co-ordinating conjugation เชื่อมประโยคที่เท่าเทียมกันเข้าด้วยกัน

จากภภาพ คคงช่วยอธิิบายได้ชัดดขึ้นนะคะว่า
But  ผู้ซซึ่งเป็นหนึ่งใน FANBOYs (FFor, and, nor, but, or, yet, so) 
เชืื่อมประโยคที่เท่าเทียมกัน

แต่ Though/Although/Even though 
เชื่อมประโยครองเข้ากับประโยคหลัก((สองประโยคมีน้ำหนักต่างกัน)

โดยที่คำ Even though ที่มีความหนักแน่นที่สุด และคล้ายกับ Even if นั้น
Even though ต่างจาก Even if ตรงที่ Eveen if ใช้กับประโยคสมมติ(unreal)
Even if อยู่ในกลุ่ม If-clause ไม่ใช่ Sub-ordinate conjugation 




แล้ว Despite กับ In spite of ล่ะ?
สองคำนี้มีความหมาย"เหมือน"กันค่ะ
และใช้นำหน้า "นาม" เหมือนกันด้วย
แค่ระวังอย่าเขียนผิดเพราะความสับสนเป็น In despite of หหรือ Inspite ก็พอ

โดยที่ Despite / In spite of ต่างจาก Though/Although/Even though ที่..
Despite / In spite of เป็น Preposition ใช้"นำหน้านาม"ไม่ใชช่เชื่อมประโยค

พี่เบิร์ดบอกว่า.. Too much, So much , Very much ใช้ต่างกันอย่างไร

เรารู้กันอยู่แล้วว่า Too much, So much และ Very much ใช้ขยายคำนามว่ามีมาก
แต่บางครั้งเราก็แยกพวกมันออกจากกันไม่ได้, บบางครั้งเราก็เกิดความไม่แน่ใจว่าต้องใช้คำไหน

เชื่อไหมคะว่า... คำตอบของคำถามนี้พี่เบิร์ดตอบให้เราไปแล้ว
Loving you, too much, so much, very much, right now...
ใช่ค่ะ.. too much, so much และ very much เรียงจากดีกรีความมากไปน้อยตามลำดับ
ในขณะเดียวกันก็เรียงลำดับความอันตรายจากมากไปน้อยตามลำดับด้วย

อย่างเจ้า Too much ที่ไปขยายให้รู้ว่ามากที่สุด(มากกว่า So much และVery much)  มากเกินไป 
เช่น เธอดีเกินไป(เราเลิกกันเถอะ), ฉันรักเธอมากเกินไป(จนไม่อยากดึงเธอลงมา)

รองลงมาาคือ So much  คำนี้มีีคววามหมายเชิงมากจนไม่แน่ใจ,, คล้ายกับไฟเหลือง  
ปประมาณว่า ฉันรักเธอมาก, แต่ถ้าคบกัน เธอจะลำบากเพราะฉันไหม?


สุดท้าย คือ Very much คคำนี้คือมากกำลังดี,
คล้ายกับไฟเขียววจากว่าที่พ่อตาแม่ยาย, ประมาณว่า ฉันรักเธอมาก แต่งงานกันเถอะ

A lot, A lot of, Lots of อะไรยังไง แตกต่าง/เหมือนกันตรงไหน?

บล๊อกที่ผ่านมา http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/too-much-too-many-lot-of.html
เราได้เคลียร์ความเหมือน/แตกต่างระหว่าง Too much, Too many และ A lot of ไปแล้ว
ทบทวนกันนิดหนึ่งว่า เราใช้ Too much กับ A lot of กับนามนับไม่ได้
และใช้ Too much กับ A lot of กับนามนับไม่ได้
หากยังสงสัยว่าเมื่อไหร่จะใช้อะไร กลับไปเจอกันที่บล๊อกก่อนเลยค่ะ
ในบล๊อกนี้มาดูกันว่า A lot of เนี่ย เหมือน/แตกต่างกับ A lot และ Lots of อย่างไร

ยินดีด้วยที่ A lot of กับ Lots of นั้นเหมือนกันทุกอย่าง
(หากจะแตกต่างกันบ้าง ก็มีบางคนให้ความหนักแน่น(หรือความมาก)ของLots of มากกว่า A lot of
สองคำนี้จึงหยิบคำไหนมาใช้ก็ได้ไม่มีปัญหา,
ใช้วางหน้านามที่ไปขยายตามกฎกติกามารยาท of + noun

ส่วน A lot คำนี้เป็นคำขยายที่ไม่ต้องมีอะไรมาต่อท้ายได้
เช่น Thank you, a lot
I love you, a lot

สามคำนี้จึงใช้งานง่ายค่ะ
ขอแค่อย่าสับสนเอาคำมาปนเปกันเป็น A lots of, หรือ lot of ก็พอ

ลองหรือพยายาม Try doing หรือ Try to do, มาดูกันว่าคำไหนใช้เมื่อไหร่

ในด้านการใช้เรารู้กันอยู่แล้วว่า To จะตามด้วย V --> Try to + V
ส่วน V+ing ที่เรียกว่า Gerund นั้นเป็น Noun

ถ้าโจทย์เป็นช้อยส์ ก็ไม่ยากที่จะเลือกว่าจะตอบ V หรือ Ving
แต่ถ้าเราต้องหยิบมันมาใช้เองเพื่อการพูดหรือเขียนล่ะ
เราจะสับสนงุนงงใช่ม๊ะ ว่าจะเลือกใช้ Try doing หรือ Try to do ดี

Try doing จะมีความหมายไปทาง ลอง (do sth as an experiment/test)
อย่างเช่น ลองให้ดอกไม้เป็นกำลังใจเขาสิ, ลองใส่เกลือในน้ำซุปดูสิ เป็นต้น

Try to do จะมีความหมายไปในทาง พยายาม (Attempt to do) 
อย่างเช่น พยายามอ่านหนังสือแทบตายได้มาแค่เกรดC, พยายามทำใจแค่ไหนแต่ใจก็ไม่ลืมเธอ เป็นต้น

จบแล้ว
ลองมาทดสอบความเข้าใจด้วยแบบฝึกหัดจาก usingenglish.com กันค่ะ
Q1 - I tried ____ a ticket, but they had all sold out.

Q2 - I tried ____ to her personally, but I couldn't persuade her.

Q3 - Jon, I have some bad news- I regret _____ that your application has been unsuccessful.

Q4 - She stopped ____ when she got married.

Q5 - I regret ____ so rude last night.

Q6 - She went on _____ the CEO a few years later.

Q7 - Remember ____ her at lunchtime.

Q8 - I don't remember ____ the cooker off before I left.

Q9 - We can't go on _____ like this- we must find a better way.


Read more at http://www.usingenglish.com/quizzes/268.html#Xhxkhu81bYAhMfMj.99

ใช้ Too much, Too many และ A lot of ไม่ผิดอีกต่อไป

Loving you too much so much very much right now ไม่รู้ว่าเจอเธอทำไมต้องยาว
พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ อาจจะยาว, แต่ PEM จะไม่ยาว
พี่เบิร์ด ธงไชย อาจจะผิด, แต่คุณจะไม่ผิดค่ะ

เพราะว่า... Too much ที่เรารู้กันว่าใช้กับคำนามนับไม่ได้(ไม่เติม -s) นั้น
ต่างจาก A lot of ที่ใช้ได้ทั้งนามนับไม่ได้(Uncountable) และนามนับได้(Countable) ตรงที่...

เวลาจะใช้ Too much หรือ A lot of กับ Uncountable noun (นามนับไม่ได้)
เราจะดูที่นามที่ถูกกล่าวถึงดัวย
ถ้า.. นามตัวนั้นเป็นนามที่ไปในทางไม่ค่อยดี ที่เราชอบ เช่น ผู้คนมากมายพลุกพล่าน, ขยะมากมาย เป็นต้น
เราจะใช้ Too much people, Too much garbage
ถ้า.. นามตัวนั้นเป็นนามที่ไปในทางที่ดี ที่เราชอบ เช่น เงินมากมาย, อยากได้ผู้คนมากมายมาช่วยงาน เป็นต้น
เราจะใช้ A lot of money, A lot of people 
สังเกต Too much people กับ A lot of people ที่ยกตัวอย่างมา ความหมายจะต่างกัน

ฉะนั้น ที่เกริ่นมาข้างต้นว่า พี่เบิร์ดใช้ too much ผิดนั้น, จริงๆไม่ผิดหรอก
แค่หยิบยกท่อนเพลงที่คุ้นหู มาเป็นกระดิ่งความจำให้เราจดจำความแตกต่าง
ระหว่าง Too much กับ A lot of ได้ยาวนานก็เท่านั้นเอง
สรุปนะคะ..
A lot of หยิบมาใช้เมื่อจะสื่อถึงนามไปในทางที่ดี ที่เราชอบ 
จะสื่อประมาณว่า "A great quantity of "
กับนามนับได้ก็ได้ กับนามนับไม่ได้ก็ได้
Too much กับ Too many จะสื่อประมาณว่า "จะมากเกินไปแล้วนะ" 
หยิบมาใช้เมื่อจะสื่อถึงนามไปในทางที่ไม่ดี ไม่ค่อยชอบ
โดยใช้ Too much กับนามนับไม่ได้ 
และใช้ Too many กับนามนับได้

มาถึงตอนนี้ เราก็เคลียร์ Too much, Too many, A lot of ชัดแจ้งแล้ว
แต่ตามมาด้วยข้อสงสัยว่า A lot of ต่างจาก A lot กับ Lots of อย่างไร
เก็บข้อสงสัยนี้ไว้ แล้วเจอกันในบล๊อกถัดไปค่ะ

"ง่าย"แต่"งง"ใช่แม่ะ A,An,The "โดโซะ"เชิญคลิ๊กมาดูบทสรุปสั้นๆที่จะช่วยให้จดจำได้ยาวนาน

เชื่อว่าเรารู้กันอยู่แล้ว ว่า a/an : เป็น Indefinite article คือ Article ที่ไม่ชี้เฉพาะ
ส่วน the : เป็น Definite article, ใช้กับนามวิสามานยนาม หรือชื่อเฉพาะ หรืออะไรก็ตามที่เป็นหนึ่งเดียว
เช่น The sun, The king of Thailand, The fifth floor of Baiyok2 tower เป็นต้น


ดูง่ายใช่ไหมคะ แต่เชื่อเถอะค่ะว่า ..
ตอนใช้จริง มันกลับมีอะไรที่ทำให้เรา "งง" เช่น
1. บางครั้ง เหมือน Article มันหายไป เช่น I like cat, I like a cat.
อันนี้ก็ถูกทั้งสองประโยค "ไม่มีอะไรผิด" เพียงแต่"ความหมายไม่เหมือนกัน"
ถามว่า.. . ตกลงจะ"ตัด" หรือ "ไม่ตัด" Article กันแน่ยะ 
คือ.. กรณีที่เรากล่าวถึงอะไรที่มันทั่วๆไป เรา "มักจะ" ตัด Article ออกไป 
เช่น ถ้านางสาว คัดกิ่งรักส์ คิดคิดสะระณัง ชอบแมวแบบที่-เห็นแมวตัวไหนก็รักไปหมด-
เรามักจะกล่าวว่า She likes cat.
.. กรณีที่เรากล่าวถึงอะไรที่มัน actual/real/specific เรามักจะไม่ตัด Article ออก 
เช่น ถ้านาย ณเดช คูกิมิยะ ชอบแมวพันธุ์ Scottish fold หูตั้ง ชื่อเสือโคร่ง ของทูนหัวของบ่าว ที่เล่นละครเล่ห์นางฟ้า
เรามักจะกล่าวว่า He likes a cat. (มีความหมายเชิงลึกว่าเขาชอบแมวนี่ -โดยที่เขาอาจจะไม่ชอบแมวตัวอื่นก็ได้-)



2. บางคำขึ้นต้นด้วย A,E,I,O,U แต่ต้องใช้ A
บางคำขึ้นต้นด้วยตัวที่ไม่ใช่ a,e,i,o,u แต่ดันใช้ An
กรณีนี้เชื่อว่าเรารู้กันอยู่แล้วว่า เราตัดสินว่าจะใช้ A/An ทีเสียงอ่านไม่ใช่พยัญชนะขึ้นต้น
เราจึงขอรวบรวมคำแปลกๆมาให้ผ่านตาและจำได้ว่าคำไหนใช้ A/An แบบสวนทางพยัญชนะขึ้นต้นบ้าง

A ตรงกับพยัญชนะขึ้นต้น : a Boy, a Cat, a Dog, a Zoo, ...
A สวนทางพยัญชนะขึ้นต้น ; A User(Yoo-zer), A University,  a Unicycle, ... 

An ตรงกับพยัญชนะขึ้นต้น. : an Apple, an Egg, an Elephant, ... 
An สวนทางพยัญชนะขึ้นต้น. ; An hour, An Historical, An SPF(Sun Protection Factor), ...


๐สารบัญ๐ Review

สารบัญReview

1. หนังสือ

2. เว็บไซต์
2.1 ซื้อหนังสือออนไลน์
2.1.1 ศูนย์หนังสือจุฬา(ร้านเดียวกับ 3.1.1), http://www.chulabook.com

3. สถานที่
3.1 สถานที่ซื้อหนังสือ
3.1.1 ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ณ ตึกวิทยกิตติ์, BTS สยาม, ติด Park @Siam

3.2 สถานที่อ่านหนังสือนอกสถานที่
3.2.1 ร้านกาแฟ
3.2.1.1 Too fast to sleep ณ สามย่าน, MRTสามย่าน, ติดวัดหัวลำโพง
3.2.1.1 Rest note cafe ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทางออกที่4

"ใช้ Have,Has,Had ถูกต้องตลอดไป" ได้ในหนึ่งนาที



Has กับ Had ใช้กับประโยคบอกเล่าเท่านั้น*
Has- ใช้กับประธานพหูพจน์, กาลปัจจุบัน
Had- ใช้กับประธานทุกตัว, กาลอดีต
*ถ้าเจอ Has กับ Had  ที่ใช้กับประโยคปฏิเสธ"ผิดทันที"
ประโยคบอกเล่ารูปอดีต จะต้องใช้ Had เท่านั้น
และจะเจอ Had ในประโยคบอกเล่ารูปอดีตเท่านั้นเช่นกัน
ประโยคบอกเล่าในปัจจุบัน จะต้องดูประธาน ถ้าเป็น   I,You,We,They  ใช้  have 
                                                           ถ้าเป็น He,She,It              ใช้  has
จะเจอ Has ในประโยคบอกเล่าปัจจุบันปธ.He,She,Itเท่านั้น




จาก*
รูปปฏิเสธ ต้องใช้ Have เท่านั้น
และนำตัวช่วย Don't / Doesn't / Didn't มาช่วยตามเหมาะสม
รูปปฏิเสธ, กาลอดีตทั้งหมด.                                                                                    ใช้ Didn't have 
รูปปฏิเสธ, กาลปัจจุบัน ใช้ Don't หรือ Doesn't ตามประธาน ถ้าเป็น   I,You,We,They  ใช้ Don't have 
                                                                                   ถ้าเป็น He,She,It              ใช้ Doesn't have



Review coffee cafe at BTS Victory monument : คอฟฟี่คาเฟ่อ่านหนังสือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ถ้าคุณมองหาคาเฟ่นั่งจิบกาแฟเคล้าไปกับการอ่านหนังสือ
ในคอฟฟี่คาเฟ่ที่มีแสงสีขาว เพดานสูง มีปลั๊กให้ชาร์ตแบตเตอรี่ทั่วร้าน
สถานที่ตั้งอยู่ในกลางกรุงเทพมหานคร ณ กิโลเมตรที่ 0 นามอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิล่ะก็...

แอดมินขอแนะนำร้าน  Rest Note Cafe
ซึ่งเป็นร้านที่แม้แต่ชื่อก็บอกสไตล์ของร้านว่าพร้อมให้คุณมานั่งอ่านหนังสือได้สบายๆ
ที่น่าแปลกใจคือ ร้านนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักของนักเดินทางหรือคอกาแฟมากนัก
 ทำให้ในร้านมีความเงียบสงบแตกต่างจากความวุ่นวายภายนอกร้านอยู่มาก


สำหรับรสชาติของกาแฟ... 
แหมเป็นที่น่าเสียดายที่วันนี้แอดมินรับกาแฟอีนจากกาแฟมาหลายแก้วแล้ว
จึงได้แต่ลิ้มลองรสชาติชาเขียวร้อนหหวานน้อยแก้วนี้เท่านั้น
ฉนนราคา ห้าสิบบาทถ้วน,, 
ด้วยรสชาติระดับ 4 ดาว ซึ่งขอหักไปด้วยความหวานที่มากเกินควรไปแค่นิดเดียว
แอดมินจึงขออแนะนำให้เน้นย้ำระดับความหวานต่อบาริสต้าสักนิด 
แล้วคุณอาจติดใจในรายละเอียดโดยรวมของร้านแห่งนี้

สำหรับการเดินทาง
ประตูทางออกที่  4, BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งถนนพญาไท
จุดสังเกตที่โดดเด่นของร้านคือ รถตุ๊กๆของจริงที่จอดเทียบท่าในร้านแห่งนี้
Rest Note Cafe 




ฝึกฟังภาษาอังกฤษ ไม่ต้องโหลดคลิป ไม่ต้องโหลดแอพฯ : Listening practice on your ipad, iphone and ipod

สำหรับมือถือหรือเท็บเบล็ท ระบบ iOS มีข้อจำกัดกับการอ่าน Flash มากกว่าระบบ android
ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ระบบ iOS ที่ต้องการฝึกฟังภาษาอังกฤษผ่านมือถือหรือเท็บเบล็ทไม่สะดวกกับข้อจำกัดนี้

แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ผู้ใช้ระบบ iOS นำมาประยุกต์ใช้เพื่อฝึกฟังภาษาอังกฤษได้
คือ

1. เข้าเว็บไซต์ที่มีข้อความฝึกฟัง
(ถ้าไม่มีเน็ต ก็คัดลอกข้อความที่จะฟังมาวางไว้ใน Notes ก็ได้ 
วิธีนี้ใช้ได้กับ Safari และ Notes)
2. คลุมดำข้อความที่ต้องการฝึกฟัง
3. เลือก Speak ที่ปรากฎขึ้นมา*
4. ฝึกฟังภาษาอังกฤษได้เลย

*ถ้าคลุมดำแล้วไม่มีป๊อปอัพ Speak ให้เลือก แสดงว่ายังไม่ได้ตั้งค่า
การตั้งค่าก็ง่ายๆ แค่ไปที่ Setting --> General --> Accessibility --> Speak selection --> On**
(** ที่หน้านี้จะปรับสปีดการอ่านได้, ถ้ายังไม่คล่องก็ตั้งไว้ที่เต่าแยอะๆ ถ้าคล่องแล้วก็หนักไปทางกระต่ายได้
และสามารถเลือกได้ด้วย ว่าจะให้มีการไฮไลต์ข้อความที่จะออกเสียงอยู่หรือไม่)





Ps. เตรียมรูป How to การตั้งค่า Speak ไว้แล้ว แต่เน็ตช้าอัพไม่ได้สักที
ใครมีปัญหาเรื่องการตั้งค่าทิ้งอีเมลล์ไว้ที่กล่องคอมเม้นท์นะคะ จะเมลล์รูป How to ไปให้

สารบัญ ๐คณิต๐

- คิดเลขเร็ว

- Maths GMAT

สารบัญ ๐อังกฤษ๐

- การฟัง
-- ฝึกฟังภาษาอังกฤษ ไม่ต้องโหลดคลิป ไม่ต้องโหลดแอพฯ : Listening practice on your ipad, iphone and ipod

- การอ่าน

- แกรมม่า
-- Article  (Definite Article ; the) (Indefinite Article : A/An)
--- "ง่าย"แต่"งง"ใช่แม่ะ A,An,The     "โดโซะ"เชิญคลิ๊กมาดูบทสรุปสั้นๆที่จะช่วยให้จดจำได้ยาวนาน

-- Part of speech
--- Adjective
--- Adverb
--- Conjunction
--- Interjection
--- Noun
--- Preposition
--- Pronoun
--- Verb

-- Clause
--- Adjective clause
--- Adverb clause
--- Noun clause

-- Comparison

-- Condition sentence (If clause(ชุดนี้แนะนำให้อ่านย้อนกลับมาจาก type 3,2,1))
--- เป็นไปไม่ได้ตลอดกาล : If clause type 1
http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/if-clause-type-i.html
--- เป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ : If clause type 2
http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/if-clause-typeii.html
--- เป็นไปไม่ได้ในอดีต : If clause type 3
http://pemsummary.blogspot.com/2014/01/if-clause-typeiii.html

-- Conjugation

--- Co-ordinating conjugation : FANBOYS

---Sub-ordinating conjugation 

---- "คำเชื่อม"จะไม่ใช่"คำช้ำ" เพ็มซั่มมีบทสรุป 'Though/Although/Even though/Despite/In spite of'



-- Direct/Reported speech


-- Finite/Non-Finite verb
--- "ลองหรือพยายาม Try doing หรือ Try to do, มาดูกันว่าคำไหนใช้เมื่อไหร่ "

-- Have/Has/Had 
--- "ใช้ Have,Has,Hadถูกต้องตลอดไป" ได้ในหนึ่งนาที

-- Quantifier
--- A lot / A lot of / Lots of : " A lot, A lot of, Lots of อะไรยังไง แตกต่าง/เหมือนกันตรงไหน? "
--- Too much / So much / Very much : "พี่เบิร์ดบอกว่า.. Too much, So much , Very much ใช้ต่างกันอย่างไร"
--- Too much / Too many / A lot : " ใช้ Too much, Too many และ A lot of ไม่ผิดอีกต่อไป  "
--- a few/few
--- a little/little
--- a lot of/lots/plenty of
--- all/no/none
--- any/some
--- both/either/neither
--- each/every
--- many/much

-- Modal verb


-- Subject-Verb agreement 


-- Tense
--- Passive voice
--- Past tense
--- Present tenses
--- Future tenses

สารบัญ ๐ฟิสิกส์๐

เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการสอบนักบินและเตรียมทหาร(ตามลำดับอักษร)
- การเคลื่อนที่
- ความหนาแน่นของสสาร
- ความร้อน
- งานและพลังงาน
- ไฟฟ้า
- บรรยากาศ
- เสียง
- แสง